19-22 มิถุนายน 2567

ทำไม "อิเล็กทรอนิกส์อินทรีย์" ถึงมาแรง และสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เพื่อผู้บริโภค  

  • จับตาตลาดอิเล็กทรอนิกส์อินทรีย์โตเร็ว เพราะใช้ทรัพยากรน้อย ผลิตง่าย มีความยืดหยุ่น มีประสิทธิภาพสูง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • เซ็กเมนท์อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อินทรีย์ที่เติบโตที่สุดคือ OLED เพราะนิยมนำไปใช้ในสมาร์ทโฟนและโทรทัศน์ ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อผู้บริโภค
  • เอเชียแปซิฟิกเป็นภูมิภาคที่อิเล็กทรอนิกส์อินทรีย์เติบโตเร็วที่สุด เพราะเป็นฐานการผลิตขนาดใหญ่และเป็นตลาดหลักของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อผู้บริโภค

 

อิเล็กทรอนิกส์อินทรีย์ (Organic Electronics) สาขาหนึ่งของวัสดุศาสตร์ เป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เพื่อผู้บริโภค เพราะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อินทรีย์มีศักยภาพสูง เนื่องจากการใช้ทรัพยากรต่ำและกระบวนการผลิตที่เรียบง่าย ทั้งยังมีข้อได้เปรียบที่เหนืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วไปหลายประการ เช่น การใช้พลังงานที่ลดลง ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่ลดลง และความสามารถในการทำงานในสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย ปัจจุบันมีบริษัทหลายแห่งที่ทำงานเกี่ยวกับเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ออร์แกนิก และตลาดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ออร์แกนิกกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

ตลาดอิเล็กทรอนิกส์อินทรีย์เติบโตอย่างรวดเร็วด้วยการใช้งานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นด้านออปโตอิเล็กทรอนิกส์ เซ็นเซอร์ จอแสดงผล และอุปกรณ์จัดเก็บพลังงาน คาดว่าตลาดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อินทรีย์ทั่วโลกจะมีมูลค่าสูงถึง 67.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปี 2568 โดยเติบโตที่ CAGR 14.7% ระหว่างปี 2560-2568 โดยได้แรงหนุนจากปัจจัยต่างๆ เช่น การยอมรับเทคโนโลยีซึ่งสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน ความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ยืดหยุ่น น้ำหนักเบา และราคาถูกกว่าวัสดุอนินทรีย์ที่มีส่วนประกอบของซิลิกอนทั่วไป อีกทั้งยังประหยัดพลังงานมากกว่าและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมทั้งในแง่ของกระบวนการผลิต การใช้งาน และการกำจัด รวมถึงมีการยอมรับเทคโนโลยี OLED ในสมาร์ทโฟนและโทรทัศน์ ตลอดจนมีการใช้เซลล์แสงอาทิตย์อินทรีย์ที่เพิ่มขึ้นในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พกพาต่างๆ  

เซ็กเมนท์อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อินทรีย์ที่เติบโตสูงสุดคือ OLED เนื่องจากมีการนำ OLED มาใช้ในสมาร์ทโฟนและโทรทัศน์เพิ่มมากขึ้น OLED มีข้อดีหลายประการเหนือ LCD เช่น มุมมองที่กว้างกว่า การใช้พลังงานที่ต่ำกว่า และเวลาตอบสนองที่เร็วกว่า รวมถึงให้สีที่สดใสและแสงที่สว่างกว่า ขณะที่ให้คุณสมบัติที่บางกว่าและยืดหยุ่นกว่าของวัสดุอินทรีย์ จึงสามารถใช้ OLED ในหน้าจอมอนิเตอร์แบบโค้ง อุปกรณ์เคลื่อนที่แบบพับหรือม้วนได้ รวมถึงอุปกรณ์สวมใส่ และในอนาคตอันใกล้ คาดว่าจะพบการใช้งานอื่นๆ เพิ่มขึ้น

สำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกคาดว่าจะเติบโตที่สุด เนื่องจากภูมิภาคนี้มีบริษัทผู้ผลิตจำนวนมากและเป็นตลาดหลักสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ยิ่งไปกว่านั้น ภูมิภาคนี้กำลังมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ซึ่งคาดว่าจะกระตุ้นการเติบโตของตลาดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อินทรีย์

ผู้เล่นหลักระดับโลกในตลาดนี้ ได้แก่ LG Display หนึ่งในผู้ผลิต OLED ชั้นนำของโลก นำเสนอ OLED ที่หลากหลาย รวมถึง OLED ที่ยืดหยุ่น โปร่งใส และขนาดใหญ่ LG Display มีสถานะที่แข็งแกร่งจากการมีส่วนแบ่งมากกว่า 30% ในตลาด OLED ทั่วโลก มีฐานลูกค้ากว้างขวางในอเมริกาเหนือ ยุโรป และเอเชียแปซิฟิก

 

อย่างไรก็ตาม ต้นทุนการผลิตที่สูงและการขาดเสถียรภาพของวัสดุอินทรีย์ เป็นอุปสรรคสำคัญที่จะขัดขวางการเติบโตของตลาดอิเล็กทรอนิกส์อินทรีย์ ดังนั้นหากมีโซลูชันที่ปิดจุดอ่อนดังกล่าวได้จะทำให้อิเล็กทรอนิกส์อินทรีย์เนื้อหอมมากกว่าเคย และทำให้ภาพรวมของอุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มีความยั่งยืนมากขึ้น

สำหรับท่านที่ต้องการอัพเดทข่าวคราวเกี่ยวกับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ต้องไม่พลาดติดตาม NEP Blogs อย่างต่อเนื่อง รวมถึง "เนปคอนไทยแลนด์ 2023" งานแสดงเทคโนโลยีและผู้ให้บริการรับช่วงการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงเทคโนโลยีการตรวจวัด ชิ้นส่วนและส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์อันดับ 1 ของอาเซียน ที่อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านนี้จากกว่า 420 แบรนด์ทั่วโลก และขอเชิญผู้สนใจลงทะเบียนล่วงหน้าได้แล้ววันนี้ แล้วพบกันในวันที่ 21-24 มิถุนายน 2566 ณ ไบเทค บางนา



ที่มา