18-21 มิถุนายน 2568

เซ็นเซอร์อัจฉริยะตรวจสอบความสดใหม่อาหาร ช่วยลดขยะและเพิ่มรายได้ให้ผู้ค้าปลีก

  • 1 ใน 3 ของอาหารที่ผลิตทั่วโลกถูกทิ้งขว้าง ส่งผลให้ผู้ค้าปลีกทั่วโลกต้องเสียค่าใช้จ่ายมากกว่า 18,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี 

  • การใช้เซ็นเซอร์อัจฉริยะตรวจจับบรรจุภัณฑ์ที่มีการบรรจุแบบดัดแปรบรรยากาศ (MAP) จะทำให้ขยะอาหารลดลง เพิ่มรายได้ให้กับผู้ค้าปลีก และเพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้า

สหประชาชาติระบุว่า ขยะอาหารจะเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก การประมาณการชี้ให้เห็นว่า 8-10% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกเกี่ยวข้องกับอาหารที่ไม่ได้บริโภค และ 13% ของอาหารที่ผลิตทั่วโลกสูญเสียไประหว่างการเก็บเกี่ยวและการขายปลีก ในขณะที่ประมาณ 17% ของการผลิตอาหารทั่วโลกสูญเปล่าในครัวเรือน ตลอดจนภาคบริการด้านอาหารและการค้าปลีก เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนประการหนึ่งของ สหประชาชาติ คือการลดขยะอาหารทั่วโลกต่อหัวลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2573 ทั้งในระดับร้านค้าปลีกและผู้บริโภค มีการพัฒนาที่สำคัญในการวิจัยบรรจุภัณฑ์เพื่อส่งเสริมความพยายามนี้

อุตสาหกรรมอาหารต้องเผชิญกับเศษอาหารจำนวนมาก เนื่องจากมาตรฐานอุตสาหกรรมในปัจจุบันคือการทดสอบ MAP (เทคนิคการถนอมอาหาร เพื่อยืดอายุการเก็บรักษาอาหารสด ด้วยการบรรจุอาหารในภาชนะบรรจุที่มีการปรับสัดส่วนบรรยากาศภายใน ให้มีอัตราส่วนของก๊าซชนิดต่าง ๆ แตกต่างไปจากบรรยากาศปกติ โดยสัดส่วนของก๊าซที่ใช้อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามระยะเวลา อายุการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ และขึ้นอยู่กับชนิดของผลิตภัณฑ์ รวมถึงชนิดของวัสดุที่ใช้ทําภาชนะบรรจุ) แบบรุกราน กล้ำกราย หรือสัมผัสกับอาหารโดยตรง ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการปนเปื้อน รวมถึงยังมีการทดสอบในระดับต่ำและไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ส่งผลให้บรรจุภัณฑ์มีข้อบกพร่องซึ่งอาจตรวจไม่พบและทำให้อาหารเน่าเสียก่อนวันหมดอายุที่ระบุไว้ 

Senoptica Technologies สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีเซ็นเซอร์บรรจุภัณฑ์ระดับสูงจากไอร์แลนด์ ที่มีเป้าหมายที่จะช่วยลดขยะอาหารลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2573 จึงพัฒนาเซ็นเซอร์ใหม่เพื่อตรวจสอบสภาพของผลิตภัณฑ์อาหารที่บรรจุหีบห่อและเน่าเสียง่ายโดยใช้หมึกที่ปลอดภัยต่ออาหาร ซึ่งสามารถพิมพ์ลงบนด้านในของบรรจุภัณฑ์ได้โดยตรง เซ็นเซอร์ที่ได้รับการจดสิทธิบัตรนี้จะวัดระดับออกซิเจนภายในบรรจุภัณฑ์อาหารแบบเรียลไทม์ เพื่อเพิ่มความน่าจะเป็นในการค้นหาบรรจุภัณฑ์ที่ล้มเหลวได้ถึง 11,000 เท่า และช่วยป้องกันไม่ให้อาหารดี ๆ ถูกทิ้งกลายเป็นขยะ โดยสามารถอ่านเซ็นเซอร์ได้ที่จุดใด ๆ ของห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่ห้องเย็นไปจนถึงชั้นวางในซูเปอร์มาร์เก็ต ช่วยให้สามารถตรวจสอบระดับก๊าซของบรรจุภัณฑ์ได้ในทุกจุด ขณะที่บรรจุภัณฑ์ที่มีข้อบกพร่องจะถูกส่งกลับไปยังสายการบรรจุทันทีและบรรจุใหม่ ซึ่งจะช่วยประหยัดต้นทุนอาหารทั้งหมดได้อย่างมาก จึงช่วยเพิ่มรายได้ของผู้ค้าปลีก ลดขยะอาหาร และปรับปรุงความพึงพอใจของผู้บริโภค

เทคโนโลยีของ Senoptica ช่วยระบุ MAP ที่มีข้อบกพร่องได้ เมื่อเทคโนโลยีของ Senoptica ทำการสแกน เซ็นเซอร์จะปรากฏเป็นสีที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับระดับออกซิเจนภายในบรรจุภัณฑ์นั้น จากนั้นบรรจุภัณฑ์จะได้รับการยอมรับหรือปฏิเสธตามข้อกำหนดเฉพาะของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ 

ด้วยคุณสมบัติดังกล่าว จึงทำให้เทคโนโลยีเซ็นเซอร์อัจฉริยะของ Senoptica ช่วยแก้ปัญหา MAP จำนวน 5,300 ล้านรายการ ที่มีข้อบกพร่องบนชั้นวางขายปลีก ซึ่งส่งผลให้ผู้ค้าปลีกทั่วโลกต้องเสียค่าใช้จ่ายมากกว่า 18,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี

ในช่วงสองปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการผลิตโซลูชันเทคโนโลยีขั้นสูงในระดับอุตสาหกรรม และผ่านการทดสอบด้านความปลอดภัยของอาหารโดยหน่วยงานอิสระว่ามีคุณภาพที่สะอาด ปัจจุบันกำลังนำร่องเทคโนโลยีเซ็นเซอร์อัจฉริยะนี้กับผู้ค้าปลีกระดับโลกที่มีชื่อเสียงและบริษัทอาหารขนาดใหญ่ในยุโรป และมีแนวโน้มที่จะนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหารทั่วโลกต่อไปในอนาคต 

เพื่ออัพเดททุกความเคลื่อนไหวและข่าวสารสำคัญในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ผ่านทางอย่างต่อเนื่อง โปรดติดตามบล็อก NEPCON ของเรา รวมถึงขอเชิญผู้ประกอบการด้านการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จากสาขาอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอื่นๆ ร่วมงาน “เนปคอน ไทยแลนด์ 2024” ในวันที่ 19-22 มิถุนายน 2567 ณ ไบเทค บางนา เพื่อสัมผัสเทคโนโลยีและผู้ให้บริการรับช่วงการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงเทคโนโลยีการตรวจวัด ชิ้นส่วน และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์จากกว่า 420 แบรนด์ทั่วโลก